วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แบบทดสอบก่อนเรียนวิชาองค์ประกอบศิลป์

แบบทดสอบก่อนเรียนวิชาองค์ประกอบศิลป์
ระดับ ปวช. โรงเรียนปรางค์กู่
คำชี้แจง ให้นักเรียนทำแบบทดสอบลงในกระดาษคำตอบ เลือก X ข้อที่ถูกที่สุด
1."ผลงานที่เกิดจาการสร้างสรรค์ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสวยงาม" คือความหมายของข้อใด
      ก. ความหมายภาพพิมพ์
      ข. ความหมายประยุกต์ศิลป์
      ค. ความหมายของศิลปะ
      ง. ความหมายของวิจิตศิลป์
2. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
      ก. ศิลปะคือภาพอนาจาร
      ข. ศิลปะมีคุณค่าในระยะยาวแต่อนาจารมีคุณค่าในระยะสั้น
      ค. ศิลปะจะไม่แฝงแง่คิดไว้ในภาพแต่อนาจารจะแฝงแง่คิด
      ง. ศิลปะไม่สามารถแสดงในที่เปิดเผย
3. ข้อใดหมายถึงสื่อผสม
      ก. Mixed Media
      ข. Frinting
      ค. Fine Art
      ง. Sculpture
4. ศิลปะที่ออกแบบด้วยการปั้น หล่อ แกะสลัก และจัดองค์ประกอบ
      ก. วิจิตศิลป์
      ข. สถาปัตยกรรม
      ค. มัณฑนศิลป์
      ง. ประติมากรรม
5. ศิลปะที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างจิตรกรรมและประตอมากรรม
      ก. Fine Art
      ข. Frinting
      ค. Mixed Media
      ง. Sculpture 
6. ประเภทของศิลปะมีประเภทมีอะไรบ้าง
   ก. วิจิตรศิลป์,จิตรกรรม
   ข. วิจิตรศิลป์,ประยุกต์ศิลป์
   ค. ประยุกต์ศิลป์,จิตรกรรมศิลป์
   ง. จิตรกรรมศิลป์ ,ประติมากรรม
7. วิจิตรศิลป์ เรียกอีกอย่างว่าอะไร
   ก. มณฑนศิลป์
   ข. จิตรกรรมศิลป์
   ค. ประณีตศิลป์
   ง. พาณิชย์ศิลป์
8. ประติมากรรม มีกี่ประเภท อะไรบ้างอธิบาย
   ก. ประเภท 1. ประติมากรรมแบบผสม 2. ประติมากรรมลอยตัว
   ข. ประเภท 1.ประติมากรรมนูนต่ำ 2. ประติมากรรมนูนสูง 3. ประติมากรรมภาพ
   ค. 3 ประเภท 1. ประติมากรรมนูนต่ำ 2. ประติมากรรมนูนสูง 3. ประติมากรรมลอยตัว
   ง. ประเภท 1. ประติมากรรมลอยตัว
9. สถาปัตยกรรม แบ่งออกเป็น ประเภท อะไรบ้าง
   ก. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยได้,ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้
   ข. ประเภทที่มนุษย์ทำงานได้,ประเภทที่มนุษย์ทำงานไม่ได้
   ค. ประเภทงานออกแบบ,ประเภทเอางานมารวมกัน
   ง. ประเภทประยุกต์ศิลป์,ประเภทพาณิชย์ศิลป์
10. มัณฑนศิลป์ คือ
   ก. ศิลปะที่นำไปประยุกต์
   ข. ศิลปะที่นำมาผสมผสาร
   ค. การออกแบบ การวาดการเขียน
   ง. การออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในอาคาร และการออกแบบสวน

บทที่ 4 เรื่อง การสร้างไฟล์งานใน Illustrator


>> บทความสอน Adobe Illustrator

 1. ประวัติความเป็นมาของ illustrator
2. แนะนำเครื่องมือของโปรแกรม Adobe Illustrator
3. การใช้งาน Vertical Type Tool
4. การทำธงพริ้วไหว
5. การทำเส้นผม จากโปรแกรม Illustrator 10
6. การทำให้รูปภาพเข้าไปอยู่ในตัวอักษร
7. การทำอักษร 3 มิติ
8. การปรับแต่งรอยมาร์คเพื่อการตัด(ต่อจากเรื่องนามบัตร)
9. การพิมพ์ตัวอักษรวิ่งรอบวงกลม
10. การลอกลาย
11. การสร้างนามบัตรอย่างง่าย
12. การสร้างรูปออกมาให้เป็นรูปวงกลมโดย Illustrator
13. การสร้างโลโก้ Central
14. การสร้างโลโก้โดยใช้เส้น Path(ตอนที่ 1)
15. การสร้างโลโก้โดยใช้เส้น Path(ตอนที่ 2)
16. การสร้างสี Gradient และจัดเก็บลงใน Swatches
17. การใส่ขอบสีให้กับตัวอักษร
18. การใส่ขอบให้กับตัวอักษรแบบ Multi Stroke
19. เทคนิคการหมุนภาพแบบสั่งองศาได้
20. เทคนิคในการสร้าง wallpaper รูปดาว โดยใช้ illustrator
21. มาลองวาดหน้าตัวการ์ตูนด้วย illustrator กันเถอะ
22. เรื่องของไฟล์ EPS และ TIF
23. สร้าง Stamp แบบง่ายๆโดยใช้ Illustrator
24. สร้างกลีบดอกไม้ให้ซ้อนกันโดย Illustrator
25. สร้างกิ่งก้านดอกไม้ด้วย Illustrator
26. สร้างข้อความแบบ wave โดย Illustrator
27. สร้างข้อความให้พลิ้วไว้กับริบบิ้น
28. สร้างดิสโก้บอลบน Illustrator
29. สร้างพลุแอนนิเมชั่น โดยเริ่มจาก Illustrator
30. สร้างพื้นหลังสวยๆสไตล์นักธุรกิจ โดย Illustartor
31. สร้างแสงกระจายใน Illustrator
32. สร้างไอคอน RSS แบบสามมิติ โดยใช้ Illusrtrator
33. สร้างอักษร 3 มิติ ด้วย Illustrator
34. สร้างไอคอนโฟล์เดอร์ โดยใช้ Illustrator
35. Adobe Illustrator CS2 กับ PDF
36. แป้นลัดของโปรแกรม Adobe Illustrator 10

บทที่ 3 เริ่มต้นกับ Illustrator

อ๊ะ หน้าตาคุ้นๆ ใช่แล้วครับ โปรแกรม Illustrator นั้น มีหน้าตาคำสั่งแทบจะถอดแบบกันมากับโปรแกรม Photoshop นั่นเองครับ โดยแทบเครื่องมือต่างๆไกล้เคียงกันมีทั้ง เมนูด้านบน , Tool Bar พื้นที่ทำงาน สามารถกำหนดได้หรือตามที่ตัวโปรแกรมให้มาได้ครับ
มาพูดถึงเรื่องรูปภาพ Bitmap และ Vector บ้างครับเพื่อเข้าใจงานในแบบ Vector Graphic
ภาพBitmap
itithai_illustrator-03


ภาพจะเป็นภาพที่เกิดจากพิกเซล ซึ่งจะการเรียงจุดสีจุดสี่เหลี่ยมๆหลายๆอันประกอบกันจนเป็นรูปภาพดังนั้นความคมชัดก็อยู่ที่จำนวนจุดสีถ้ามีมากก็จะคมชัดมากแต่ถ้ามีจุดสีเรียงกันน้อยภาพที่ขยายขึ้นมาความคมชัดที่ได้จะน้อยลง หรือถาพแตกที่เราเรียกๆกันนั่นแหละ
ภาพ Vector Graphic
itithai_illustrator-02

ภาพแบบ Vector  Graphic นั้นจะประกอบไปด้วยเส้นลักษณะต่างๆ ที่เกิดจากการคำนวนทางคณิตศาตร์ ภาพที่ได้จะมีความคมชัด ไม่ว่าจะย่อหรือขยายภาพที่ได้ก็จะยังคมชัดเสมอไม่มีการสูญเสียความละเอียดและชัดเจนเท่าเดิม
โหมดสีของตัวโปรแกรม โหมดที่จะใช้ทำงานซึ่งต้องเลือกให้เหมาะกับการทำงาน มีให้เลือก2โหมดคือ RGB และ CMYK ซึ่งจะใช้ต่างกันในงานแต่ละประเภท
ในโหมดของRGB จะใช้ทำงานเกี่ยวกีบพวกมัลติมิเดีย ทำเว็บ แสดงผลที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มอนิเตอร์
ในโหมดของCMYK จะใช้สำหรับงานพิมพ์ หนังสือ โบรชัวร์ ป้ายโฆษณา
ดังนั้นก่อนเลือกทำงานต้องมั่นใจเสียก่อนว่าจะนำงานไปใช้อะไรเพื่อให้ได้งานที่ถูกต้องสีไม่ผิดเพี้ยนไป ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือนกันนะครับ เพราะบางทีทำในโหมดสี RGB แสดงผลบนหน้าจอสวยแต่ไปพิมพ์กับได้สีที่ผิดเพี้ยนไป ดังนั้นเลือกให้ถูกประเภทของงานที่ทำครับ

บทที่ 1 ความหมายขององค์ประกอบศิลป์



เรื่องความหมายและความสำคัญขององค์ประกอบศิลป์      
           มนุษย์เรารับรู้ถึงความสวยความงาม ความพอใจ ของสิ่งต่างๆได้แตกต่างกับ ระดับความพอใจของแต่ละบุคคล
ก็แตกต่างกันออกไปทั้งนี้อาจขึ้นกับรสนิยม สภาพสังคม ศาสนา ความเชื่อและสิ่งแวดล้อมที่ผู้รับรู้นั้นดำรงชีวิตอยู่ 
หากแต่ว่าผู้รับรู้นั้นได้เข้าใจถึงกระบวนการ องค์ประกอบและพื้นฐานที่สำคัญของสิ่งที่ได้สัมผัส ก็ย่อมทำให้รับรู้ถึงความงาม
 ความพอใจนั้นๆเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง               
           ศิลปะนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก เพราะอาศัยแต่ความสุนทรียะทางอารมณ์เพียงประการเดียว
แต่หากว่าได้ศึกษาถึงความสุนทรียะอย่างลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่ามันมีกฎเกณฑ์ในตัวของมันเอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องศึกษาถึง
องค์ประกอบต่างๆเหล่านั้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นงานศิลปะ  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือผู้เรียนจะต้องเข้าใจในหลัก
องค์ประกอบของศิลปะ เป็นพื้นฐานเสียก่อนจึงจะสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะที่มีคุณค่าและรับรู้ถึงความงามทางศิลปะ
ได้อย่างถูกต้อง               

1. ความหมายขององค์ประกอบศิลป์    องค์ประกอบของศิลปะหรือ(Composition )นั้นมาจากภาษาละติน
โดยคำว่า Post นั้นหมายถึง การจัดวาง และคำว่า Comp หมายถึง เข้าด้วยกัน ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วในทางศิลปะ
 Composition จึงหมายความถึง องค์ประกอบของศิลปะ การจะเกิดองค์ประกอบศิลป์ได้นั้น ต้องเกิดจากการเอาส่วน
ประกอบของศิลปะ (Element of Art) มาสร้างสรรค์งานศิลปะเข้าด้วยหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ (Principle of Art)
จึงจะเป็นผลงานองค์ประกอบศิลป์  ความหมายขององค์ประกอบศิลป์นั้นได้มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายเอาไว้
ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้              
               
          คำว่าองค์ประกอบ ตามความหมายพจนานุกรมราชบัณฑิยสถานคือ ส่วนต่างๆที่ประกอบกันทำให้เกิดรูปร่างใหม่ขึ้นโดยเฉพาะ
              
          องค์ประกอบศิลป์ หมายถึง สิ่งที่ศิลปินและนักออกแบบใช้เป็นสื่อในการแสดงออกและสร้างความหมาย
โดยนำมาจัดเข้าด้วยกันและเกิดรูปร่างอันเด่นชัด (สวนศรี   ศรีแพงพงษ์ : 82) 

          องค์ประกอบศิลป์หมายถึง เครื่องหมายหรือรูปแบบที่นำมาจัดรวมกันแล้วเกิดรูปร่างต่างๆ ที่แสดงออกในการสื่อ
ความหมายและความคิดสร้างสรรค์ (สิทธิศักดิ์   ธัญศรีสวัสดิ์กุล : 56)

          องค์ประกอบศิลป์ หมายถึงศิลปะที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดหรือความงาม
ซึ่งประกอบด้วย ส่วนที่มนุษย์สร้างขึ้นและส่วนที่เป็นการแสดงออกอันเป็นผลที่เกิดจากโครงสร้างทางวัตถุ 
(ชลูด   นิ่มเสมอ :18)
             
          องค์ประกอบศิลป์หมายถึง ส่วนประกอบต่างๆของศิลปะ เช่น จุด เส้น รูปร่าง ขนาด สัดส่วน น้ำหนัก แสง เงา
ลักษณะพื้นผิว ที่ว่างและสี (มานิต  กรินพงศ์:51)

          องค์ประกอบศิลป์คือความงาม ความพอดี ลงตัว อันเป็นรากฐานเนื้อหาของศิลปะ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
ทางศิลปะให้ผู้สร้างสรรค์ได้สื่อสารความคิดของตนเองไปสู่บุคคลอื่น (สุชาติ เถาทอง,สังคม  ทองมี,ธำรงศักดิ์  ธำรงเลิศ
ฤทธิ์,รอง  ทองดาดาษ: 3)

              จากความหมายต่างๆข้างต้น พอสรุปได้ว่า องค์ประกอบศิลป์ หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อ
ในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โดยนำส่วนประกอบของศิลปะมาจัดวางรวมกันอย่างสอดคล้องกลมกลืนและมีความหมาย
เกิดรูปร่างหรือรูปแบบต่างๆอันเด่นชัด

              ซึ่งจากความหมายข้างต้น จะเห็นได้ว่าการที่จะเกิดผลงานศิลปะดีๆสักชิ้นนั้นผู้สร้างสรรค์จะต้องใช้กระบวนการ
ที่หลากหลายมาประกอบกันได้แก่ องค์ประกอบพื้นฐานทางศิลปะ องค์ประกอบของศิลปะ และการจัดองค์ประกอบ
ของศิลปะ มาถ่ายทอดลงในชิ้นงานหรือผลงานนั้นๆเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณค่าทั้งด้านความงามและมีคุณค่าทางจิตใจ
อันเป็นจุดหมายสำคัญที่ศิลปินทุกคนมุ่งหวังให้เกิดแก่ผู้ชมทั้งหลาย

2.ความสำคัญขององค์ประกอบศิลป์    ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสาขาต่างๆไม่ว่าจะเป็นสาขาวิจิตรศิลป์
หรือประยุกต์ศิลป์ ผู้สร้างสรรค์นั้นต้องมีความรู้เบื้องต้นด้านศิลปะมาก่อน และศึกษาถึงหลักการองค์ประกอบพื้นฐาน
องค์ประกอบที่สำคัญ การจัดวางองค์ประกอบเหล่านั้น รวมถึงการกำหนดสี ในลักษณะต่างๆเพิ่มเติมให้เกิดความเข้าใจ
เพื่อเวลาที่สร้างผลงานศิลปะ จะได้ผลงานที่มีคุณค่า ความหมายและความงามเป็นที่น่าสนใจแก่ผู้พบเห็น
หากสร้างสรรค์ผลงานโดยขาดองค์ประกอบศิลป์ ผลงานนั้นอาจดูด้อยค่า หมดความหมายหรือไม่น่าสนใจไปเลย
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบศิลป์นั้นมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างงานศิลปะ         
มีนักการศึกษาด้านศิลปะหลายท่านได้ให้ทรรศนะในด้านความสำคัญขององค์ประกอบศิลป์ที่มีต่อการสร้างงานศิลปะไว้
พอจะสรุปได้ดังนี้
                  
          การสร้างสรรค์งานศิลปะให้ได้ดีนั้น ผู้สร้างสรรค์จะต้องทำความเข้าใจกับองค์ประกอบศิลป์เป็นพื้นฐานเสียก่อน
ไม่เช่นนั้นแล้วผลงานที่ออกมามักไม่สมบูรณ์เท่าไรนักซึ่งองค์ประกอบหลักของศิลปะก็คือรูปทรงกับเนื้อหา
(ชลูด  นิ่มเสมอ) 
                               
          องค์ประกอบศิลป์เป็นเสมือนหัวใจดวงหนึ่งของการทำงานศิลปะ เพราะในงานองค์ประกอบศิลป์หนึ่งชิ้น
จะประกอบไปด้วย การร่างภาพ(วาดเส้น) การจัดวางให้เกิดความงาม (จัดภาพ) และการใช้สี(ทฤษฎีสี)
ซึ่งแต่ละอย่างจะต้องเรียนรู้สู่รายละเอียดลึกลงไปอีก องค์ประกอบศิลปืจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่รวบรวมความรู้หลายๆอย่างไว้
ด้วยกัน จึงต้องเรียนรู้ก่อนที่จะศึกษาในเรื่องอื่นๆ (อนันต์   ประภาโส) 
                             
          องค์ประกอบศิลป์  การจัดองค์ประกอบและการใช้สี เป็นหลักการที่สำคัญในการสร้างสรรค์ให้งานศิลปะ
เกิดความงาม ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม วาดเขียน ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและการพิมพ์ภาพ หากปราศจากความรู้
ความเข้าใจเสียแล้วผลงานนั้นๆก็จะไม่มีค่าหรือความหมายใดๆเลย  (สวนศรี    ศรีแพงพงษ์)                              
                    
          องค์ประกอบศิลป์จัดเป็นวิชาที่มีความสำคัญสำหรับผู้ศึกษางานศิลปะ หากว่าขาดความรู้ความเข้าใจในวิชานี้แล้ว
ผลงานที่สร้างขึ้นมาก็ยากที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศิลปะสมัยใหม่ที่มีการแสดงเฉพาะ เส้น สี แสง เงา
น้ำหนัก พื้นผิว จังหวะ และบริเวณที่ว่าง มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องนำหลักการองค์ประกอบศิลป์มาใช้ 
         หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์มีความวำคัญและเกี่วข้องกับงานทัศนศิลป์โดยตรง ทั้งวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์
การจัดภาพหรือออกแบบสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ให้เกิดคุณค่าความงามนั้น การจัดองค์ประกอบศิลป์จะมีบทบาทสำคัญ
มากที่สุด (จีรพันธ์   สมประสงค์: 15)                               
               
          จากทรรศนะต่างๆ สรุปได้ว่า องค์ประกอบศิลป์เป็นหัวใจสำคัญของงานศิลปะทุกสาขา  เพราะงานศิลปะใดหากขาด
การนำองค์ประกอบศิลป์ไปใช้ ก็จะทำให้งานนั้นดูไม่มีคุณค่า ทั้งด้านทางกายและทางจิตใจของผู้ดูหรือพบเห็นขณะเดียวกัน
ก็จะบ่งบอกถึงภูมิความรู้ ความสามารถของผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นด้วย                                
          การที่จะเข้าถึงศิลปะ(Appreciation) นั้น จะต้องผ่านการฝึกฝนและหาทางดูเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ทั้งจะต้องมี
รสนิยมที่ดีพอสมควร การฝึกฝน การทำซ้ำๆอย่างสนใจ เมื่อนานเข้าก็จะเกิดความเข้าใจ ทำด้วยความคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้น
จึงจะเข้าใจ รู้เห็นในคุณค่าของศิลปะนั้นๆได้ดี

องค์ประกอบพื้นฐานด้านนามธรรมของศิลปะ
          องค์ประกอบพื้นฐานด้านนามธรรมของศิลปะ เป็นแนวคิด หรือจุดกำเนิดแรกที่ศิลปินใช้เป็นสิ่งกำหนดทิศทาง
ในการสร้างสรรค์ ก่อนที่จะมีการสร้างผลงานศิลปะ ประกอบด้วย เนื้อหากับเรื่องราว
1.เนื้อหาในทางศิลปะ   คือ ความคิดที่เป็นนามธรรมที่แสดงให้เห็นได้โดยผ่านกระบวนการทางศิลปะ เช่น
ศิลปินต้องการเขียนภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชนบท ก็จะแสดงออกโดยการเขียนภาพทิวทัศน์ของชนบท
หรือภาพวิถีชิวิตของคนในชนบทเป็นต้น
2.เรื่องราวในทางศิลปะ    คือส่วนที่แสดงความคิดทั้งหมดของศิลปินออกมาเป็นรูปธรรมด้วยกระบวนการทางศิลปะ
เช่นศิลปินเขียนภาพชื่อชาวเขา ก็มักแสดงรูปเกี่ยวกับวิถีชีวิต หรือกิจกรรมส่วนหนึ่งของชาวเขา นั่นคือเรื่องราว
ที่ปรากฏออกมาให้เห็น
          ประเภทของความสัมพันธ์ของเนื้อหากับเรื่องราวในงานทัศนศิลป์นั้น เนื้อหากับเรื่องราวจะมีความสัมพันธ์กัน
น้อยหรือมาก หรืออาจไม่สัมพันธ์กันเลย หรืออาจไม่มีเรื่องเลยก็เป็นไปได้ทั้งนั้น โดยขึ้นกับลักษณะของงาน และเจตนา
ในการแสดงออกของศิลปิน ซึ่งเราสามารถแยกได้ดังต่อไปนี้คือ
(1) การเน้นเนื้อหาด้วยเรื่อง
(2) เนื้อหาที่เป็นผลจากการผสมผสานกันของศิลปินกับเรื่อง
(3) เนื้อหาที่เป็นอิสระจากเรื่อง
(4) เนื้อหาไม่มีเรื่อง 
             
          1. การเน้นเนื้อหาด้วยเรื่อง ได้แก่ การใช้เรื่องที่ตรงกับเนื้อหา และเป็นตัวแสดงเนื้อหาของงานโดยตรง
ตัวอย่างเช่น เมื่อศิลปินต้องการให้ความงามทางด้านดอกไม้เป็นเนื้อหาของงาน เขาก็จะหาดอกไม้ที่สวยงามมาเป็นเรื่อง
สีสันและความอ่อนช้อยของกลีบดอกจะช่วยให้เกิดความงามขึ้นในภาพ 
          2.  เนื้อหาที่เป็นผลจากการผสมผสานระหว่างศิลปินกับเรื่อง  ในส่วนนี้ศิลปินจะเสนอความเห็นส่วนตัว หรือผสม
ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปในเรื่อง เป็นการผสมกันระหว่างรูปลักษณะของเรื่องกับจินตนาการของศิลปิน เช่นเรื่องความงาม
ของดอกไม้ โดยศิลปินผสมความรู้สึกนึกคิดของตนเองลงไปในเรื่องด้วย เขาจะดัดแปลง เพิ่มเติมรูปร่างของดอกไม้
ให้งามไปตามทัศนะของเขาและใช้องค์ประกอบทางศิลปะเป็นองค์ประกอบทางรูปทรงให้สอดคล้องกับความงามของเรื่อง 
           
          3.  เนื้อหาที่เป็นอิสระจากเรื่อง   เมื่อศิลปินผสมจินตนาการของตนเองเข้าไปในงานมากขึ้น ความสำคัญของเรื่อง
จะลดลง ดอกไม้ที่สวยที่เป็นแบบอาจถูกศิลปินตัดทอนขัดเกลา หรือเปลี่ยนแปลงมากที่สุด จนเรื่องดอกไม้
นั้นหมดความสำคัญไปอย่างสิ้นเชิง เหลือแต่เนื้อหาที่เป็นอิสระ การทำงานแบบนี้ศิลปินอาศัยเพียงเรื่อง เป็นจุดเริ่มต้นแล้ว
เดินทางห่างออกจากเรื่องจนหายลับไป เหลือแต่รูปทรงและตัวศิลปินเองที่เป็นเนื้อหาของงาน กรณีนี้เนื้อหาภายในซึ่ง
หมายถึงเนื้อหาที่ที่เกิดขึ้นจากการประสานกันของรูปทรงจะมีบทบาทมากกว่าเนื้อหาภายนอก หรือบางครั้งจะไม่แสดงเนื้อหา
ภายนอกออกมาเลย 
             
          4. เนื้อหาไม่มีเรื่อง ศิลปินบางประเภท ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เรื่องเป็นจุดเริ่มต้น งานของเขาไม่มีเรื่อง มีแต่รูปทรง
กับเนื้อหา โดยรูปทรงเป็นเนื้อหาเสียเองโดยตรง เป็นเนื้อหาภายในล้วนๆ เป็นการแสดงความคิด อารมณ์ และบุคลิกภาพ
ของศิลปินแท้ๆ ลงไปในรูปทรงที่บริสุทธิ์ งานประเภทนี้จะเห็นได้ชัดในดนตรีและงานทัศนศิลป์ที่เป็นนามธรรม
และแบบนอนออบเจคตีฟ 
              
         องค์ประกอบพื้นฐานด้านรูปธรรมของศิลปะองค์ประกอบพื้นฐานด้านรูปธรรมของศิลปะ คือสิ่งที่แสดงแนวดิดเกี่ยวกับ
เนื้อหาและเรื่องราวของศิลปินให้เห็นหรือรับรู้ผ่านผลงานศิลปะ ประกอบด้วย เอกภาพ ดุลยภาพ และจุดเด่น
  
1.   เอกภาพหมายถึงการนำองค์ประกอบของศิลปะมาจัดเข้าด้วยกันให้แต่ละหน่วยมีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
 ประสานกลมกลืนเกิดเป็นผลรวมที่แบ่งแยกไม่ได้ โดยถ่ายทอดเป็นผลงานศิลปะด้วยกระบวนการศิลปะ

2.   ดุลยภาพ คือการนำองค์ประกอบของศิลปะมาจัดเข้าด้วยกันให้เกิดความเท่ากันหรือสมดุล โดยมีเส้นแกนสมมุติ 2 เส้น
เป็นตัวกำหนดดุลยภาพเส้นแกนสมมุติจะทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็นด้านซ้านและด้านขวา หรือด้านบนและด้านล่าง
เพื่อให้ผลงานศิลปะที่ปรากฏเกิดความสมดุลในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่นแบบซ้ายขวาเหมือนกันและแบบซ้าย ขวา ไม่
เหมือนกัน
3.   จุดเด่น คือ ส่วนที่สำคัญในภาพ มีความชัดเจนสะดุดตาเป็นแห่งแรก รับรู้ได้ด้วยการมองผลงานที่สำเร็จแล้ว
จุดเด่นจะมีลักษณะการมีอำนาจ ตระหง่าน ชัดเจนกว่าส่วนอื่นทั้งหมด โดยเกิดจากการเน้นให้เด่นในลักษณะใดลักษณะนึ่ง
เช่น จุดเด่นที่มีความเด่นชัด หรือจุดเด่นที่แยกตัวออกไปให้เด่น

บทที่ 2 พื้นฐานคอมพิวเตอร์กราฟิก

แนวคิด
คอมพิวเตอร์กราฟิก คือ การใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพและจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ เพื่อใช้สื่อความหมายของข้อมูลต่าง ๆ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น การใช้กราฟนำเสนอข้อมูลยอดขายสินค้าในแต่ละปี การใช้ภาพกราฟิกประกอบการโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น  ภาพกราฟิกแบบ 2 มิติ มี 2 แบบ คือแบบ Raster และแบบ Vector ซึ่งหลักการทำงานจะมีความแตกต่างกัน โดยกราฟิกแบบ Rasterจะเกิดภาพจากจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลาย ๆ จุด มารวมกัน ส่วนแบบ Vector เกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ หรือการคำนวณ ซึ่งภาพกราฟิกแต่ละนามสกุลจะมีแฟ้มรูปภาพและลักษณะที่แตกต่างกัน

ความหมายของกราฟิก
                   กราฟิก (Graphic)  มักเขียนผิดเป็น กราฟิกส์ กราฟฟิกส์  กราฟฟิก  คำว่า กราฟิก” มาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึง  การวาดเขียน (Graphikos)  และการเขียน (Graphein)  ต่อมามีผู้ให้ความหมายของคำว่า กราฟิก” ไว้หลายประการซึ่งสรุปได้ดังนี้
          กราฟิก หมายถึง ศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งใช้สื่อความหมายด้วยเส้น สัญลักษณ์ รูปวาด ภาพถ่าย กราฟ แผนภูมิ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายข้อมูลได้ถูกต้องตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการ

ความหมายของคอมพิวเตอร์กราฟิก
          คอมพิวเตอร์กราฟิก หมายถึง การสร้าง การตกแต่งแก้ไข หรือการจัดการเกี่ยวกับรูปภาพ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดการ ยกตัวอย่างเช่น การทำ  Image Retouching ภาพคนแก่ให้มีวัยที่เด็กขึ้น การสร้างภาพตามจินตนาการและการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้ตรงตามที่ผู้สื่อสารต้องการและน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยกราฟ แผนภูมิ แผนภาพ เป็นต้น
ภาพกราฟิก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภาพกราฟิกแบบ 2 มิติ และแบบ 3 มิติ
         

ภาพกราฟิกแบบ  2 มิติ เป็นภาพที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ภาพถ่าย  รูปวาด  ภาพ ลายเส้น 
สัญลักษณ์  กราฟ รวมถึงการ์ตูนต่าง ๆ ในโทรทัศน์  ยกตัวอย่างเช่น  การ์ตูนเรื่องพิภพยมราช ชินจัง  และโดเรมอน  เป็นต้น ซึ่งการ์ตูนจะเป็นภาพกราฟิกเคลื่อนไหว (Animation)  โดยจะมีกระบวนการสร้างที่ซับซ้อนกว่าภาพวาดปกติ
          ภาพกราฟิกแบบ 3 มิติ  เป็นภาพกราฟิกที่ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม 3 Ds max  โปรแกรม  Maya  เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ได้ภาพมีสีและแสงเงาเหมือนจริง เหมาะกับงานด้านสถาปัตย์และการออกแบบต่าง ๆ  รวมถึงการสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนหรือโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เช่น การ์ตูน เรื่อง  Nemo  The Bug และปังปอนด์แอนิเมชัน เป็นต้น

ประวัติความเป็นมาของ Computer Graphic เป็นอย่างไร
       ในปี ค.ศ. 1940 คอมพิวเตอร์จะแสดงภาพกราฟิกโดยใช้เครื่องพิมพ์ โดยรูปภาพที่ได้จะเป็นภาพที่เกิดจากการใช้ตัวอักษรมาประกอบกัน
       ในปี ค.ศ. 1950 สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาซูเซสต์ (Massachusetts Institue Technology : MIT] ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหลอดภาพ CRT(Cathode Ray Tube) เป็นส่วนแสดงผลแทนเครื่องพิมพ์ เนื่องจากมีความต้องการที่จะให้การติดต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มีความเร็วยิ่งขึ้น
       ในปี ค.ศ. 1950 ระบบ SAGE (Semi - Automatic Ground Environment) ของกองทัพอากาศ สหรัฐอเมริกาสามารถแปลงสัญญาณจากเรดาร์ให้เป็นภาพบนจอคอมพิวเตอร์ได้ ระบบนี้เป็นระบบกราฟิก เครื่องแรกที่ใช้ปากกาแสง (Light Pen : เป็นอุปกรณ์สำหรับรับข้อมูลชนิดหนึ่ง) สำหรับการ
       ในปี ค.ศ. 1950 - 1960 มีการทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของระบบคอมพิวเตอร์กราฟิกสมัยใหม่  ตัวอย่างเช่น  
       ในปี ค.ศ. 1963 วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ อีวาน ซูเธอร์แลนด์ (Ivan Sutherland) เป็นการพัฒนาระบบการวาดเส้น ซึ่งผู้ใช้สามารถกำหนดจุดบนจอภาพได้โดยตรงโดยการใช้ปากกาแสง จากนั้นระบบกราฟิกจะสามารถลากเส้นเชื่อมจุดต่างๆ เหล่านี้เข้าด้วยกัน กลายเป็นภาพโครงสร้างรูปหลายเหลี่ยม ระบบนี้ได้กลายเป็นหลักการพื้นฐานของโปรแกรมช่วยในการออกแบบระบบงานต่างๆ เช่น การออกแบบระบบไฟฟ้า และการออกแบบเครื่องจักร เป็นต้น ในระบบหลอดภาพ CRT สมัยแรกนั้น เราสามารถวาดเส้นตรงระหว่างจุดสองจุดบนจอภาพได้ แต่ภาพเส้นที่วาดจะจางหายไปจากจอภาพอย่างรวดเร็ว จึงต้องมีการวาดซ้ำลงที่เดิมหลายๆ ครั้งในหนึ่งวินาที เพื่อให้เราสามารถมองเห็นว่าเส้นไม่จางหายไป ซึ่งระบบแบบนี้มีราคาแพงมากในช่วงต้นปี ค.ศ.
          งานกราฟิกมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังตัวอย่างที่พบ คือ ภาพวาดบนผนังถ้ำของมนุษย์โบราณ ที่แสดงออกถึงพิธีกรรมหรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การล่าสัตว์ การบวงสรวง จำนวนและชนิดของสัตว์  ในปัจจุบันสังคมมนุษย์ได้ใช้งานกราฟิกในเกือบทุกกิจกรรม เช่น การศึกษา การออกแบบ การทดลอง การนำเสนอข้อมูล   การแสดงออกทางศิลปะ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ ภาพยนตร์ ละด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลทำให้การสร้างและใช้งานกราฟิกสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก งานกราฟิกจึงมีความสำคัญและมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์
       การสื่อความหมายระหว่างมนุษย์เป็นกิจกรรมทางสังคมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือที่เป็นสัญลักษณ์สื่อความหมาย และมีความแตกต่างกันตามความเจริญของสังคมมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย
       มนุษย์ยุคเริ่มแรกยังไม่มีภาษาและสัญลักษณ์ จึงใช้ของจริงและสภาวะจริงรอบตัวในการสื่อความหมาย
ต่อกัน เช่น   การบอกแหล่งอาศัยของสัตว์ จะใช้วิธีวิ่งนำหน้าเพื่อนไปยังแหล่งที่มีสัตว์อยู่ แล้วชี้ให้เห็น   วิธีการนี้จะยุ่งยากและเยิ่นเย้อเพราะไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องมือช่วยย่อให้กระบวนการสื่อความหมายสั้นและกระชับ
       จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า เมื่อประมาณล้านปีมาแล้ว มนุษย์โฮโมอีเร็คทุส ( Homo Erectus )   ซึ่งจัดอยู่ในประเภทสัตว์ลำตัวตั้งตรง ยังไม่มีภาษาใช้ ได้ใช้ท่าทางและสิ่งของตามธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน กิ่งไม้   และกระดูกสัตว์ต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายต่อกัน เช่น การสื่อความหมายถึงแหล่งล่าสัตว์ชนิดใด จะทำโดยการยกชูกระดูกของสัตว์ชนิดนั้น แล้วชี้ไปยังทิศทางที่มีสัตว์ชนิดนั้นอาศัยอยู่
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์กราฟิก

          ได้มีการนำคอมพิวเตอร์กราฟิกมาใช้ในงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น
  • ใช้แสดงผลงานด้วยภาพแทนการแสดงด้วยข้อความ ซึ่งช่วยให้เข้าใจได้ง่าย และน่าสนใจมากกว่า หลายหน่วยงานเลือกใช้วิธีนี้สำหรับแนะนำหน่วยงาน เสนอโครงการและแสดงผลงาน 
     
  • ใช้แสดงแผนที่ แผนผัง และภาพของสิ่งต่างๆ ซึ่งภาพเหล่านี้ไม่สามารถแสดงในลักษณะอื่นได้ นอกจากการแสดงด้วยภาพเท่านั้น 
     
  • ใช้ในการออกแบทางด้านต่างๆ เช่น ออกแบบบ้าน รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า และเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆ ซึ่งสามารถทำได้รวดเร็วสวยงามและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะงานออกแบบที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพื่อเปรียบเทียบหาแบบที่เหมาะสมที่สุด การใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกจะช่วยให้เกิดความสะดวก และทำได้รวดเร็วมาก 
     
  • ได้มีการนำคอมพิวเตอร์กราฟิกมาช่วยทางการด้านเรียนการสอน โดยเฉพาะในวิชาที่ต้องใช้ภาพ แผนผัง หรือแผนที่ประกอบ บทเรียนคอมพิวเตอร์สามารถแสดงภาพส่วนประกอบและการทำงานของเครื่องยนต์ หรือเครื่องมือที่มีความสลับซับซ้อนให้เห็นได้ง่ายขึ้น 
     
  • คอมพิวเตอร์กราฟิกถูกนำมาใช้ในการจำลองสถานการณ์เพื่อหาคำตอบว่า ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ใช้ทดสอบว่าถ้ารถยนต์รุ่นนี้พุ่ง เข้าชนกำแพงด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเกิดความเสียหายที่บริเวณไหน ผู้โดยสารจะเป็นอย่างไร การจำลองสถานการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกช่วยให้ทราบผลได้รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ทำให้เกิดอันตราย 
     
  • คอมพิวเตอร์กราฟิกสามารถนำมาสร้างภาพนิ่ง ภาพสไลด์ ภาพยนต์ และรายการวิดีโอ ได้มีภาพยนต์แนววิทยาศาสตร์หลายเรื่องใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกสร้างฉากและตัวละคร ซึ่งทำให้ดูสมจริงได้ดีกว่าการสร้างด้วยวิธีอื่น 
     
  • คอมพิวเตอร์กราฟิกที่มีผู้รู้จัก และนิยมใช้กันมากคงจะได้แก่ เกมส์คอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันนี้คงมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ไม่เคยเห็นหรือรู้จักเกมส์คอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้เกมส์สนุกและน่าสนใจก็คือ ภาพของฉากและตัวละครในแกมซึ่งสร้างโดยคอมพิวเตอร์กราฟิก 

หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก
          ภาพที่เกิดบนจอคอมพิวเตอร์ เกิดจากการทำงานของโหมดสี RGB  ซึ่งประกอบด้วยสีแดง (Red) สีเขียว (Green)  และสีน้ำเงิน (Blue)  โดยใช้หลักการยิงประจุไฟฟ้าให้เกิดการเปล่งแสงของสีทั้ง 3 สีมาผสมกันทำให้เกิดเป็นจุดสีสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล (Pixel) ซึ่งมาจากคำว่า  Picture  กับ Element โดยพิกเซลจะมีหลากหลายสี  เมื่อนำมาวางต่อกันจะเกิดเป็นรูปภาพ ซึ่งภาพที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มี 2 ประเภท คือ แบบ Raster และแบบ  Vector


หลักการของกราฟิกแบบ  Raster
          หลักการของภาพกราฟิกแบบ Raster หรือแบบ  Bitmap เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวกันของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ  หลากหลายสี ซึ่งเรียกจุดสีเหลี่ยมเล็ก ๆ นี้ว่าพิกเซล (Pixel) ในการสร้างภาพกราฟิกแบบ Raster  จะต้องกำหนดจำนวนของพิกเซลให้กับภาพที่ต้องการสร้าง ถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลน้อย เมื่อขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้แฟ้มภาพมีขนาดใหญ่ ดังนั้นการกำหนดพิกเซลจึงควรกำหนดให้เหมาะกับงานที่สร้างคือ ถ้าต้องการใช้งานทั่ว ๆ ไปจะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 100-150 ppi (Pixel/inch)  “จำนวนพิกเซลต่อ 1 ตารางนิ้ว”  ถ้าเป็นงานที่ต้องการความละเอียดน้อยและแฟ้มภาพมีขนาดเล็ก เช่น ภาพสำหรับใช้กับเว็บไซต์จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 72 ppi  และถ้าเป็นแบบงานพิมพ์ เช่น นิตยสาร  โปสเตอร์ขนาดใหญ่  จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ  300-350 เป็นต้น  ข้อดีของภาพกราฟิกแบบ Raster  คือ สามารถแก้ไขปรับแต่งสี ตกแต่งภาพได้ง่ายและสวยงาม ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้สร้างภาพกราฟิกแบบRaster คือ  Adobe  PhotoShop, Adobe PhotoShopCS, Paint  เป็นต้น


หลักการของกราฟิกแบบ  Vector
          หลักการของกราฟิกแบบ Vector เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ หรือการคำนวณ ซึ่งภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน โดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง  รูปทรง  เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพไม่ลดลง  แฟ้มมีขนาดเล็กกว่าแบบ Rasterภาพกราฟิกแบบ Vector  นิยมใช้เพื่องานสถาปัยต์ตกแต่งภายในและการออกแบบต่าง ๆ เช่น การออกแบบอาคาร  การออกแบบรถยนต์  การสร้างโลโก  การสร้างการ์ตูน เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้สร้างภาพแบบ Vector คือ โปรแกรม  Illustrator, CoreDraw, AutoCAD, 3Ds max เป็นต้น  แต่อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลภาพ เช่น จอคอมพิวเตอร์จะเป็นการแสดงผลภาพเป็นแบบ  Raster


รูปที่ 1.2  ภาพกราฟิกแบบ Vector ที่ขยายใหญ่ขึ้น

ความแตกต่างของกราฟิกแบบ 2 มิติ
                ภาพกราฟิก 2 มิติแบบ  Raster และ แบบ  Vector  มีความแตกต่างกันดังนี้

ภาพกราฟิกแบบ  Raster
ภาพกราฟิกแบบ Vector
1. ภาพกราฟิกเกิดจากจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลากหลายสี (Pixels) มาเรียงต่อกันจนกลายเป็นรูปภาพ
1.ภาพเกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์หรือการคำนวณ โดยองค์ประกอบของภาพมีอิสระต่อกัน
2. การขยายภาพกราฟิกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จะทำให้ความละเอียดของภาพลดลง ทำให้มองเห็นภาพเป็นจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
2. การขยายภาพกราฟิกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ภาพยังคงความละเอียดคมชัดเหมือนเดิม
3. การตกแต่งและแก้ไขภาพ สามารถทำได้ง่ายและสวยงาม เช่น การ  Retouching ภาพคนแก่ให้หนุ่มขึ้น การปรับสีผิวกายให้ขาวเนียนขึ้น เป็นต้น
3. เหมาะกับงานออกแบบต่าง ๆ เช่น งานสถาปัตย์
ออกแบบโลโก เป็นต้น
4. การประมวลผลภาพสามารถทำได้รวดเร็ว
4. การประมวลผลภาพจะใช้เวลานาน เนื่องจากใช้คำสั่งในการทำงานมาก

หลักการใช้สีและแสงในคอมพิวเตอร์
                สีที่ใช้งานด้านกราฟิกทั่วไปมี 4 ระบบ คือ
                1. RGB
                2. CMYK
                3. HSB
                4. LAB
RGB
                เป็นระบบสีที่ประกอบด้วยแม่สี  3 สีคือ แดง  (Red), เขียว  (Green) และสีน้ำเงิน (Blue)  เมื่อนำมาผสมกันทำให้เกิดสีต่าง ๆ บนจอคอมพิวเตอร์มากถึง  16.7 ล้านสี ซึ่งใกล้เคียงกับสีที่ตาเรามองเห็นปกติ สีที่ได้จากการผสมสีขึ้นอยู่กับความเข้มของสี โดยถ้าสีมีความเข้มมาก เมื่อนำมาผสมกันจะทำให้เกิดเป็นสีขาว จึงเรียกระบบสีนี้ว่าแบบ Additive  หรือการผสมสีแบบบวก

CMYK
                เป็นระบบสีที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ออกทางกระดาษหรือวัสดุผิวเรียบอื่น ๆ ซึ่งประกอบด้วยสีหลัก 4 สีคือ สีฟ้า (Cyan), สีม่วงแดง (Magenta), สีเหลือง (Yellow) และสีดำ (Black) เมื่อนำมาผสมกันจะกเกิดสีเป็นสีดำแต่จะไม่ดำสนิทเนื่องจากหมึกพิมพ์มีความไม่บริสุทธิ์  จึงเป็นการผสมสีแบบลบ (Subtractive) หลักการเกิดสีของระบบนี้คือ หมึกสีหนึ่งจะดูดกลืนแสงจากสีหนึ่งแล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นสีต่าง ๆ เช่น สีฟ้าดูดกลืนแสงของสีม่วงแล้วสะท้อนออกมาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสีที่สะท้อนออกมาจะเป็นสีหลักของระบบ RGB  การเกิดสีในระบบนี้จึงตรงข้ามกับการเกิดสีในระบบ  RGB ดังภาพ









HSB
          เป็นระบบสีแบบการมองเห็นของสายตามมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
·       Hue  คือสีต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุแล้วเข้าสู่สายตาของเรา  ซึ่งมักเรียกสีตามชื่อสี เช่น สีเขียว  สีเหลือง  สีแดง เป็นต้น
·   Saturation  คือความสดของสี  โดยค่าความสดของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 ถ้ากำหนดSaturation     ที่ 0  สีจะมีความสดน้อย แต่ถ้ากำหนดที่  100 สีจะมีความสดมาก
·       Brightness  คือระดับความสว่างของสี โดยค่าความสว่างของสีจะเริ่มที่ 0 ถึง 100 ถ้ากำหนดที่  0 ความสว่างจะน้อยซึ่งจะเป็นสีดำ  แต่ถ้ากำหนดที่  100 สีจะมีความสว่างมากที่สุด

LAB
                   เป็นระบบสีที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ใด ๆ (Device Independent) โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
·     L”  หรือ  Luminance  เป็นการกำหนดความสว่างซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100  ถ้ากำหนดที่ 0  จะกลายเป็นสีดำ  แต่ถ้ากำหนดที่  100 จะเป็นสีขาว
·     “A”  เป็นค่าของสีที่ไล่จากสีเขียวไปสีแดง
·     “B”  เป็นค่าของสีที่ไล่จากสีน้ำเงินไปเหลือง

แฟ้มภาพกราฟิกแบบ  Raster  และคุณลักษณะของแฟ้มภาพกราฟิก
          นามสกุลที่ใช้เก็บแฟ้มภาพกราฟิกแบบ  Raster  มีหลายนามสกุล เช่น .BMP, .DIB, .JPG, .JPEG, .JPE, .GIF, .TIFF, .TIF, .PCX, .MSP, .PCD, .FPX, .IMG, .MAC, .MSP และ .TGA เป็นต้น ซึ่งลักษณะของแฟ้มภาพจะแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น

นามสกุลที่ใช้เก็บ
ลักษณะงาน
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้าง
.JPG, .JPEG, .JPE
ใช้สำหรับรูปภาพทั่วไปงานเว็บเพจ และงานที่มีความจำกัดด้านพื้นที่
หน่วยความจำ
โปรแกรม PhotoShop,
PaintShopPro, Illstratior
.GIF
.TIFF, .TIF
เหมาะสำหรับงานด้านนิตยสาร เพราะมีความละเอียดของภาพสูง

.BMP, .DIB
ไฟล์มาตรฐานของระบบปฏิบัติการวินโดว์
โปรแกรม  PaintShopPro, Paint
.PCX
เป็นไฟล์ดั้งเดิมของโปรแกรมแก้ไขภาพแบบบิตแมป ไม่มีโมเดลเกรย์สเกล  ใช้กับภาพทั่วไป
โปรแกรม CorelDraw, Illustrator, Paintbrush

แฟ้มภาพกราฟิกแบบ  Vector  และคุณลักษณะของแฟ้มภาพกราฟิก
                นามสกุลที่ใช้เก็บแฟ้มภาพกราฟิกแบบ  Vector  มีหลายนามสกุลเช่น  .EPS, .WMF, .CDR, .AI, .CGM, .DRW, .PLT, .DXF, .PIC  และ  .PGL  เป็นต้น  ซึ่งลักษณะของแฟ้มภาพจะแตกต่างกันไป เช่น

นามสกุลที่ใช้เก็บ
ลักษณะงาน
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้สร้าง
.AI
ใช้สำหรับงานที่ต้องการความละเอียดของภาพมาก เช่น การสร้างการ์ตูน  การสร้างโลโก  เป็นต้น
โปรแกรม  Illustrator
.EPS
.WMF
ไฟล์มาตรฐานของโปรแกรม Microsoft Office
โปรแกรม  CorelDraw

คอมพิวเตอร์กราฟิกกับการประยุกต์ใช้ในงานด้านต่าง ๆ
                ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง  ทำให้การสื่อสารมีสีสันและชีวิตชีวามากขึ้น  โดยการใช้ภาพกราฟิกมาประยุกต์ร่วมกับงานด้านต่าง ๆ เพื่อให้งานดูสวยงามและดึงดูดใจให้น่าใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งแบ่งงานด้านภาพกราฟิกออกได้ดังนี้
                1.คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานด้านการออกแบบ  คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทกับงานด้านการออกแบบในสาขาต่าง ๆ  เป็นจำนวนมาก  เช่น งานด้านสถาปัตย์ออกแบบภายในบ้าน  การออกแบบรถยนต์  การออกแบบเครื่องจักรกล  รวมถึงการออกแบบวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งโปรแกรมที่ใช้จะเป็นโปรแกรม  3 มิติ  เพราะสามารถกำหนดสีและแสงเงาได้เหมือนจริงที่สุด อีกทั้งสามารถดูมุมมองด้านต่าง ๆ  ได้ทุกมุมมอง
                2.คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานด้านโฆษณา  ปัจจุบันการโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ได้นำภาพกราฟิกเข้ามาช่วยในการโฆษณาสินค้าเพื่อเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น  เช่น การทำหิมะตกที่กรุงเทพฯ การนำการ์ตูนมาประกอบการโฆษณาขนมเด็ก เป็นต้น  และการโฆษณาสินค้าด้วยภาพกราฟิกยังมีอยู่ทุกที่รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นตามป้ายรถเมล์  ข้างรถโดยสาร  หน้าร้านค้าตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ เป็นต้น
                3. คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานด้านการนำเสนอ  การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เป็นการสื่อความหมายให้ผู้รับสารเข้าใจในสิ่งที่ผู้สื่อต้องการ และการสื่อสารที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ภาพเข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้รับสาร เช่น การสรุปยอดขายสินค้าในแต่ละปีด้วยกราฟ หรือการอธิบายระบบการทำงานของบริษัทด้วยแผนภูมิ  เป็นต้น
                4. คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานด้านเว็บเพจ ธุรกิจรับสร้างเว็บเพจให้กับบริษัทหรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้นำคอมพิวเตอร์กราฟิกเข้ามาช่วยในการสร้างเว็บเพจเพื่อให้เว็บเพจที่สร้างมีความสวยงามน่าใช้งานยิ่งขึ้น
                5. คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานด้าน  Image  Retouching  ปัจจุบันธุรกิจคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ใช้ในการ  Retouching ภาพ ได้เปิดตัวขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของคนในการทำภาพตามจินตนาการได้เป็นอย่างดี  เช่น การทำภาพผิวกายให้ขาวเนียนเหมือนดารา การทำภาพเก่าให้เป็นภาพใหม่  การทำภาพขาวดำเป็นภาพสี  และการทำภาพคนแก่ให้ดูหนุ่มหรือสาวขึ้น เป็นต้น